|
writer: 4lifethaitf@gmail.com | view: 1094
โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆตามธรรมชาติไวผิดปกติ ทั้งที่คนทั่วไปไม่เกิดอาการผิดปกติเมื่อสัมผัสต่างๆเหล่านั้น สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้หลายทางทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆซึ่งมีอาการแตกต่างกันดังนี้
1.สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก คอ หลอดลมลงไปถึงปอด ทำให้เกิดอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เรียกว่า โรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการคันคอ เจ็บคอ ไอมาก หากมีอาการหลอดลมตีบตัน หายใจลำบากเรียกว่าโรคหอบหืด
2.สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคันอักเสบ เป็นลมพิษ มีน้ำเหลืองไหล เป็นตุ่มพองที่ผิวหนัง เรียกว่า “โรคภูมิแพ้”
3.สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคันปาก คันคอ มีผื่นคันที่ผิวหนัง เป็นลมพิษ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลร้อนในในปากเรียกว่า “โรคแพ้อาหาร”
4.สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางตา ทำให้คันตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล ตาสู่แสงไม่ได้ เยื่อบุตาแดงบวมและอักเสบ เรียกว่า “โรคภูมิแพ้ที่ตา”
ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
1.โรคภูมิแพ้ มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับสารแปลกปลอม ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้เข้ามาในร่างกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆจนกระทั่งร่างกายเกิดปฏิกิริยา มีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสารชนิดนั้น เมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้นั้นเข้าไปอีก ก็จะเกิดปฏิกิริยาแพ้
2.การติดเชื้อซ้ำซากยาวนาน ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส ยีสต์ หรือพยาธิ หรือ ปัจจัยภายนอกใดๆ ที่คงอยู่ในตัวเรา หรือสัมผัสกับร่างกายเรา โดยที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกให้หมด เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน ในที่สุดก็จะกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ให้ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดกว้างและมีความเจาะจงน้อย ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นคนแพ้สิ่งต่างๆได้ง่ายและบางครั้งมีภูมิคุ้มกันที่ตอต้านเนื้อเยื่อของตนเองเกิดขึ้น กลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
3.อาการภูมิแพ้ ที่เป็นเฉพาะเวลาร่างกายประสบกับวาวะเครียดทั้งทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ตาม เนื่องจากความเครียดจะเผาผลาญพลังงานในร่างกายด้วยการกระตุ้นต่อมไร้ท่อต่างๆเมื่อเวลาผ่านไป ระบบป้องกันตนเองของร่างกายจะค่อยๆอ่อนแอลงไป ร่างกายเกิดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ด้วยการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อฝุ่นละออง และสารต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีเสมหะแห้งๆ ในคอตลอดเวลา น้ำมูก มึนงง ไม่สดชื่นฯลฯ
4.ระบบภูมิต้านทานของคนเราประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ที่สำคัญโดยเฉพาะ T-Cell ซึ่งมี 2 ประเภทคือ
Th1 เป็นเซลล์ต้านทานเม็ดเลือดขาวที่สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น สารอินเตอเฟอรอนแกมม่า
Th22 เป็นเซลล์ที่สร้างสารเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เช่น อินเตอร์ลิวคีน 5 ร่างกายของคนเราต้องใช้เซลล์ทั้ง 2 ชนิดอย่างสมดุลจึงจะมีสุขภาพที่สมดุลแข็งแรงแต่สภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานในยุคปัจจุบันได้อยู่ตามธรรมชาติ เช่น นอนแต่ในห้องแอร์ อาบแต่น้ำอุ่น ไม่ได้สัมผัสธรรมชาติที่เป็นของจริง เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ร่างกายเด็กจึงไม่มีโอกาสสัมผัสเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ พอเป็นไขไม่สบายก็รีบพาลุกไปหาหมอกินยาปฏิชีวนะ ยาละน้ำมูก ยาลดไข้ ไว้ตลอดโดยที่ภูมิต้านทนที่แท้จริงของตนเองไม่เคยได้ใช้งานต่อสู้เชื้อโรคเลย ทำให้ร่างกายขาดเซลล์ Th 1 มีแต่เซลล์ Th2 ซึ่งเป็นตัวการคอยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวชื่อ อีโอซิโนฟิลล์ สาร IgE ที่เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการหลั่งสารฮีสตามีนซึ่งทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ
การแพ้อาหารเป็น 2 ประเภท คือ การแพ้ที่ปรากฏชัดเจน กับการแพ้ที่ไม่ปรากฏชัดเจน ซึ่งชนิดหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ต่ออาหารปกติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น นม ข้าวโพด แป้งสาลี น้ำตาล ช๊อคโกแลต สีผสมอาหาร กลิ่น สารถนอมอาหาร โดยจะเกิดการแพ้แบบค่อยเป็นค่อยไปและสะสมใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี อาการที่พบได้คือ อ่อนเพลีย คัดจมูก ปวดท้อง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการทางประสาท ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้อาหาร และอาการจะเป็นแบบเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยต้องแสวงหาหมอ แสวงหายามารักษาตนเอง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย การแพ้อาหารประเภทหลังนี้ อาจเกิดจากร่างกายได้รับสารเคมีตกค้างที่มาในอาหาร พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ การมีอนุมูลอิสระมากเกินไป หรือการมียีสต์เจริญงอกงามมากเกินไปในลำไส้โดยยีสต์จะแบ่งตัวและแตกหน่อ ฝังตัวเองลงไปในเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้อาหารโมเลกุลใหญ่ที่ยังย่อยไม่สมบูรณ์กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆได้
การรักษาโรคภูมิแพ้
โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี้ยงจากสารที่ทำให้แพ้ คำแนะนำนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้เฉพาะกรณีท่านั้น เพราะบางครั้งผู้ป่วยไม่อาจทราบได้ว่าตนเองแพ้อะไรบ้าง และบางครั้งสิ่งที่แพ้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
1.ให้ผู้ป่วยกินยาต้านปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ กลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อคอยระงับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นเท่านั้นแต่ไม่ได้จัดการแก้ไขสาเหตุที่เป็นต้นตอจริงๆ
2.การทดสอบทางผิวหนัง(skin test) โดยสุ่มทดสอบว่าผู้ป่วยแพ้อะไรบ้างแล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้คุ้นเคยกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น จึงสามารถป้องกันการเกิดภูมิแพ้ได้ การรักษาชนิดนี้ต้องใช้ระยะเวลานาน คือฉีดติดต่อกัน 9-12 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดกระตุ้นไปอีกเป็นระยะ เช่น เดือนละครั้ง อาจนาน 3-5 เดือน อย่างไรก็ ตาม ผลการรักษาไม่สู้จะดีนัก เมื่อเทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถหายจากโรคภูมิแพ้แน่นอน และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะแพ้สารหลายตัววิธีการนี้จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างยุ่งยากสิ้นเปลืองเสียเวลานาน และไม่ค่อยได้ผล
writer: 4lifethaitf@gmail.com | view: 1110
การรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกัน
การรักษามะเร็งโดยการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันให้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการสังเคราะห์ไกลโคโปรตีน Immune Activator Program ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ คือ
1.กระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่ง Antigen ไปกระตุ้นให้เกิดภูมิกันที่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งขึ้น โดย Marcrophage ปกติจะมีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง โดยตรงแต่เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยสาร Immune Activator Program จะทำให้เปลี่ยนแปลงไปเป็น Activated Marcrophage ซึ่งมีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ดี
2.ส่งสัญญาณต่อให้ T Cells และ B Cells ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเพ่อรับรู้และจดจำสารแปลกปลอม(เซลล์มะเร็ง)ให้ถูกทำลายอย่างตรงเป้าหมาย
3.โดยปกติเซลล์มะเร็งหรือเซลล์แปลกปลอมทั่วๆไป จะสามารถสร้างสารชื่อ Nagalase เพื่อบดบังการทำงานของ Macrophage ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกดไว้ การให้ Inmune Activator Program ส่งผลให้ร่างกายสามารถเอาชนะ Nagalase และทำให้ Macrophage และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้สมบูรณ์อีกครั้ง
4.Macrophage เป็นเซลล์ที่สำคัญในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และมี Fc Receptor (Fragment crystallisable Receptor)เช่นเดียวกับ NK Cell จึงสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งที่มี Antibody เคลือบอยู่ได้
5.Macrophage สามารถหลั่ง TNF(Tumor Necrosis Factor)ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ฆ่าเซลล์มะเร็งได้โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ พบว่าเป็นพิษโดยตรงและทำลายโครงสร้างของเซลล์มะเร็ง ตลอดจนทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งอุดตันจึงส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายไป
ผลงานวิจัย
· ปี1990 Dr.Yamamoto ได้เริ่มใช้วิธีนี้ในการกระตุ้น Marcrophage ซี่งได้ผลดีในหลายโรค หลังจากนั้นมีการวิจัยเรื่องนี้โดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 100 ท่านใน 46 งานวิจัย ซึ่งพิสูจน์ว่าวิธีนี้สามารถสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายขึ้นมาใหม่ เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง, HIV และโรคอื่นๆโดยเฉพาะมันสามารถกำจัดมะเร็งในระยะต้นๆได้ภายในไม่กี่สัปดาห์
· มีการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 16 ราย ซึ่งรักษาได้ผลและไม่มีการรกลับมาของโรคอีกใน 4 ปี
· ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ 7 รายหลังจากให้วิธีนี้นาน 32-50 สัปดาห์ สามารถควบคุมระดับ Marcrophage และรักษามะเร็งระยะกระจายได้โดยไม่พบการกลับมาเป็นซ้ำด้วยการตรวจ CT Scan
· Professor Ruggiero กับทีมแพทย์และนักวิจัยที่ University of Florence ได้ประกาศว่าสามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาผู้ป่วย HIV ได้อย่างน่าพอใจ
ประโยชน์ที่ได้รับและข้อดี
1.เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้คอยตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอม(เซลล์มะเร็ง)โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ จึงสามารถกำจัดและลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
2.เป็นสารสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์ต่อผลการรักษาได้ดี อาการข้างเคียงน้อย
3.ผลิตเพื่อฉีดใต้ผิวหนังอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมการกระจายยาให้ใช้ได้สัปดาห์ละครั้ง ทำให้คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัวจากวิธีรักษา
writer: 4lifethaitf@gmail.com | view: 975
การรักษาโรคมะเร็งด้วยเซลล์เพชฌฆาต(Natural Killer Cell Therapy)
การรักษาโรคมะเร็งแบบมาตรฐานในปัจจุบันใช้หลักการ 3 วิธีคือ การผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด และการฉายแสงรังสีรักษา แต่ด้วยวิวัฒนาการแพทย์ที่ล้ำยุคทันสมัยได้มีวิธีการรักษาโรคมะเร็งร้ายเพิ่มอีกวิธีหนึ่ง เรียกว่า การรักษาด้วยเซลล์เพชฌฆาต นับเป็นอีกความหวังหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งสามารถใช้ประกอบการรักษากับวิธีมาตรฐานในปัจจุบัน หรือสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานแล้วมะเร็งกลับขึ้นมาเป็นใหม่ หรือเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีแบบมาตรฐานได้แล้ว
เซลล์เพชฌฆาตเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวของตัวเราเองซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเซลล์ภูมิต้านทาน แต่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้เก่งกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวทั่วๆไปถึง 75 เท่า ซึ่งมีรายงานทางกายแพทย์ว่าผู้ป่วยมะเร็งมักมีจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตต่ำกว่าปกติ และมีการสำเร็จในประชาชนทั่วไปพบว่า คนที่มีระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตสูงมักไม่เป็นมะเร็ง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จึงมีความคิดในการกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสู้มะเร็งได้ เซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตนี้เป็นเซลล์ในตัวผู้ป่วยเองซึ่งโดยปกติก็คอยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยจึงกำจัดเซลล์มะเร็งไม่ได้ปล่อยให้เจริญเติบโตแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
การศึกษาเรื่องการใช้เซลล์เพชฌฆาตสำหรับโรคมะเร็งทำกันมากในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากประสบปัญหาว่าโรคมะเร็งตับที่คนญี่ปุ่นเป็นกันมากนั้น การรักษาด้วยวิธียาเคมีบำบัดและการฉายแสงนั้นไม่ได้ผล เซลล์เพชฌฆาตจึงเป็นการรักษาที่เป็นความหวังใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
เซลล์เพชฌฆาต หรือ Natural Killer Cell(NK Cell) เป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นด่านแรกในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งที่มาคุกคามเมื่อ NK Cell ถูกกระตุ้นจะมีปฎิกิริยาตอบสนอง 2 ประการคือ
1.ปล่อยสารสื่อโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ทำหน้าที่เป็นเซลล์นักฆ่าที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อรวมถึงเซลล์มะเร็ง
จากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์เพชฌฆาต(NK Cell) ได้โดยทำการเจาะเลือดผู้ป่วยประมาณ 50 ml นำมาสกัดแยกเนื้อเยื้อมะเร็งและ Drendritic Cell ( DC) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่หลักในการตรวจหาเซลล์มะเร็งและส่งสัญญาณให้เซลล์อื่นๆในระบบรับทราบ เพื่อเข้าจัดการกับเซลล์มะเร็ง พร้อมกับเพิ่มจำนวน NK Cell จนได้เซลล์เพชฌฆาตนับล้านตัว และเมื่อ DC ถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนจากระยะ Resting phase เป็น Activating phase แล้วฉีดกลับให้ผู้ป่วย โดย DC+NK Cell ที่ฉีดกลับนี้จะเป็นตัวชี้นำให้ T Cell ที่อยู่ในร่างกายเรารู้จักและจดจำเซลล์มะเร็งชนิดนี้ได้ และมีความสามารถทำลายเซลล์มะเร็งในตัวผู้ป่วยได้อย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ NK Cell ยังสามารถยับยั้งการทำลายเซลล์ได้ในกรณีที่พบว่าเป็นเซลล์ปกติของร่างกาย และเนื่องจากเป็นเซลล์ที่เพาะเลี้ยงมาจากตัวผู้ป่วยเองจึงไม่มีผลแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง เมื่อเทียบกับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีอื่นๆ และนี่อาจเป็นแนวทางการรักษามะเร็งที่สมบูรณ์แบบโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต (NK Cell) ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิดคือ
1.เซลล์ CD56+ เป็นเซลล์ที่เรียกว่า Natural Killer Cells มีความจำเพาะต่อเซลล์มะเร็งโดยจะมีตัวจับกับเซลล์มะเร็งที่เฉพาะเจาะจง แล้วปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเข้าไป
2. เซลล์ CD56+/3+ เป็นเซลล์ที่เรียกว่า Natural Killer Cells มีกลไกการทำลายเซลล์มะเร็งที่แตกต่างกันออกไป โดยจะมีความสามารถในการรับรู้สภาวะแวดล้อมรอบกลุ่มเซลล์มะเร็ง(Tumer Microenvironment) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของเซลล์ปกติ เมื่อเซลล์ CD56+/3+ตรวจพบกลุ่มเซลล์มะเร็งแล้ว จะเคลื่อนตัวเข้าไปสัมผัสเซลล์มะเร็งแล้วปล่อยสารออกฤทธิ์หลายชนิด เช่น Perforin,IFN-g,RANTES,MIP1a และ MIP1b สารเหล่านี้บางชนิดจำทำลายผนังเซลล์บางชนิดออกฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งแบบเดียวกับเซลล์ T-Helper1 T Cell
โรคมะเร็งที่สามารถใช้เซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต(NK Cell)
จากกลไกการทำลายเซลล์มะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต ทำให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีอัตราการแพร่กระจากสูง หรือรักษาด้วยวิธีการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งมะเร็งที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับกับผลข้างเคียงของการรักษาจากการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งมะเร็งที่มีอัตราการแพร่กระจากสูงได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต และอื่นๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.wollymedical.com
writer: 4lifethaitf@gmail.com | view: 988
หลักการรักษามะเร็งประกอบด้วย
1.การผ่าตัด
2.การฉายแสง
3.การใช้ยาเคมีบำบัด
การผ่าตัดรักษามะเร็ง
การผ่าตัดรักษามะเร็ง คือ การผ่าเอาเนื้อมะเร็งออกจากร่างกาย บางคนคาดหวังว่าหลังการผ่าตัดรักษามะเร็งแล้วจะหายขาด แต่การรักษามะเร็ง มีจุดมุ่งหมายหลายประการ ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งต้องปรึกษากับแพทย์ถึงเปาหมายในการผ่าตัดรักษามะเร็ง
หลังผ่าตัดแล้วจะรักษามะเร็งหายขาดหรือไม่?
การผ่าตัดรักษามะเร็งโดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นจะหายขาด แต่ถ้ามะเร็งมีขนาดใหญ่ หรือมีมะเร็งบางชนิดมีการแพร่กระจาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นการรักษามะเร็งอาจจะจำเป็นต้องให้เคมีหรือฉายเซลล์ส่วนที่ตัดออกไม่หมด
การฉายแสงรักษามะเร็ง
ผู้ป่วยที่ต้องทำการรักษามะเร็งโดยการฉายรังสี แพทย์รังสีรักษาจะเป็นผู้วางแผนการฉายรังสี การใช้รังสีรักษามะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย ระยะเวลารักษามะเร็ง และขนาดของรังสีที่ใช้ในการรักษามะเร็งจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การตอบสนอง และระยะมะเร็ง การฉายรังสีรักษามะเร็งต้องอาศัยประสลการณ์และความชำนาญ เพื่อให้การรักษามะเร็งมีประสิทธิผลสูงสุด และให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากการฉายรังสีน้อยที่สุด รังสีรักษามะเร็งเป็นการรักษามะเร็งที่ไม่มีความเจ็บปวด ไม่เสียเลือด และการรักษามะเร็งด้วยรังสีส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผลทางด้านรังสียังไม่เกิดขึ้นทันที แต่เมื่อผู้ป่วยมะเร็ง ได้รับการฉายรังสีเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงจะเริ่มมีผลข้างเคียงหรือผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสี เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้น เป็นต้น
การรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด
เคมีบำบัด คือ การรักษามะเร็งด้วยยาเพื่อควบคุมหรือทำลายเซลล์มะเร็ง เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ ผมร่วง มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยา สภาวะความแข็งแรงของร่างกาย ความพร้อมทางด้านจิตใจของผู้ป่วยมะเร็งด้วย
แพทย์จะสั่งใช้ยารักษามะเร็งทุกชนิดขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง และสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็ง ปัจจุบันการใช้ยารักษาโรคมะเร็งร่วมกันหลายชนิดจะให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ยาชนิดเดียว ยารักษามะเร็งมีทั้ง ชนิดน้ำ ชนิดเม็ด ชนิดฉีด ยารักษามะเร็งไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดมากไปกว่ายาที่ใช้รักษาโรคอื่นๆ
ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด
เมื่อได้รับยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง ผู้ป่วยบางรายอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ การบำบัดรักษามะเร็งตั้งแต่เริ่มต้นจะได้ผลดีกว่าการรักษามะเร็งเมื่อเป็นมากแล้ว ผลข้างเคียงการรักษามะเร็งบางประประการถ้าไม่รักษาทันท่วงที อาจนำไปสู่ผลแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ นำไปสู่อาการช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ อาการข้างเคียงสำคัญที่ควรปรึกษาแพทย์ พอสรุปได้ดังนี้
· บวม
· ติดเชื้อ
· ไอ มีเสมหะ
· ผื่นขึ้นตามลำตัว
· ปวดท้องรุนแรง
· ปัสสาวะเป็นเลือด
· มีแผลในปากและคอ
· เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก
· คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง
· ท้องผูกหรือท้องเดินอย่างรุนแรง
· น้ำหนักลด หรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว
· ซึมลง ซัก หรือมีอาการเกร็งผิดปกติ
· บริเวณให้ยา ปวดแสบ ปวดร้อน บวมแดง
· ไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส(101 องศาฟาเรนไฮต์)
· เลือดออกเกินง่าย หรือ ไม่หยุด หรือมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
เนื่องจากการรักษามะเร็งด้วยวิธีการหลักทั้ง 3 หลักการ ยังมีปัญหาไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ทุกราย บางรายที่ดูเหมือนอาการดีขึ้น ผ่านไปไม่กี่ปีโรคมะเร็งก็กลับมาเป็นอีก คราวนี้ส่วนใหญ่จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแม้การใช้ยาเคมีบำบัดรุ่นใหม่มาทำ การรักษา แต่ดูเหมือนผลการรักษาก็ยังไว้ใจไม่ได้ โดยที่การรักษามะเร็งเหล่านี้มาพร้อมกับการทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย มะเร็ง และไม่เพียงแต่จัดการกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังทำลายเซลล์ปกติด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะในร่างกายสูง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น
writer: 4lifethaitf@gmail.com | view: 1166
ทำไมร่างกายถึงเกิดอาการ Healing Crisis
กระบวนการรักษา Healing Process หรือที่รู้จักกันว่า ปฏิกิริยาการรักษา Healing Reaction, Herxheimer Reaction หรือการขับพิษ Detoxification หรือ วิกฤติการรักษา Healing Crisis หรือเรียกง่ายๆว่า ปฏิกิริยา Reaction เกิดขึ้นเป็นผลมาจากร่างกายขจัดสารพิษที่มีการสะสมมาหลายปี ทุกระบบการรักษาทางธรรมชาติรับรู้ถึงกระบวนการบำบัดรักษา แพทย์แผนจีนโบราณก็รู้จักกันดีว่าเป็นกฎแห่งการรักษา คนที่รับประทาน ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์อาจจะเกิดปฏิกิริยาการรักษา
ปัจจุบันผู้คนห่างไกลจากความเป็นอยู่และการกินอาหารเพื่อสุขภาพมาบริโภคผลิตภัณฑ์อาการเนื่องจากการแปรรูป ผิดธรรมชาติและวิศวกรรมอาหาร ร่างกายพวกเขาไม่ได้รับสารอาหาร ที่จำเป็นให้อวัยวะและระบบแข็งแรงเพื่อที่จะกำจัดของเสียหรือมูกขณะที่ซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื้อใหม่แทนเนื้อเยื้อเก่า คุณรู้หรือไม่ว่า การผลิตมูกเมือกเป็นหนึ่งในกลไกของร่างกายที่สมบูรณ์แบบในการนำของเสียออกมา หากกระบวนการนั้นถูกยับยั้ง ระบบภูมิคุ้มกัน(Immune System)ของร่างกายถูกบั่นทอนแล้ว ครั้งหน้าระบบจำทำงานไม่ดีเหมือนเดิม
มีอยู่หลายอาการในระหว่างกระบวนการบำบัดรักษาที่อาจจะสับสนกับความเจ็บป่วย แต่ความแตกต่างก็คืออาการเหล่านี้จะอยู่ในระยะเวลาสั้นและย้ายจากส่วนหนึ่งของร่างกายไปยังอีกส่วนหนึ่งจากข้างในออกข้างนอกและจากบนลงล่าง ความเจ็บป่วยเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันซึ่งอวัยวะหนึ่งหรือมากกว่าทำงานได้ไม่ดี ก่อให้เกิดพิษสะสมของเสียที่ไม่สามารถเอาออกไป มีความกลัวในระหว่างการเจ็บป่วย คือความรู้สึกที่ความคุมไม่ได้ แตกต่างจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการรักษา ซึ่งอยู่ภายใต้อาการทั้งหมด ทุกอย่างทำงานเป็นเพียงวิธีที่มันควรจะเป็น และทุกอย่างก็ดีขึ้นจริงๆ
อาการของการรักษาเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายกำลังกำจัดสารในตัวเองที่ทำให้เกิดสารพิษ ไม่เพียงแต่สารที่มีการสะสมในลำไส้ใหญ่ แต่ยังมีสารที่ภูมิต้านทาน antibodies และสารอื่นๆที่ได้สร้างขึ้นในแต่ละเซลล์ รบกวนการทำงานปกติของพวกมัน ขณะที่สารเหล่านี้ถูกผลักออกมาจากเนื้อเยื่อ พวกมันจะถูกทิ้งเข้าในระบบ ทำให้ร่างกายเป็นพิษมากขึ้นชั่วคราวจนกว่าจะสามารถขับออก นี่คือบางส่วนที่เกิดอาการกระบวนการรักษา ผลกระทบนี้ถูกทำให้เด่นโดยกระบวนการของร่างกายที่แยกเนื้อเยื่อที่มีข้อบกพร่องออกจากกัน ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ทำลายปรสิตหรือตัวการะทำติดเชื้อ และ การผลิตเศษซากจากการซ่อมสร้างอีกครั้ง ขณะที่สารพิษถูกปล่อยออกจากที่เก็บภายในร่างกายของคุณ พวกมันจะมีผลต่อร่างกายอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้บางคนปวดเมื่อยและเจ็บป่วยในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่นมีผื่น อาการคัน บวม เสมหะ และแม้กระทั่งการปวดที่รุนแรงในข้อต่อร่างกายของคุณ บางคนอาจจะพบการรบกวนระบบย่อยอาหาร เช่น แก๊ส ท้องผูก และ ท้องเสีย อาการที่พบได้บ่อยคือ จะรู้สึกร้อนหรือพลังงานลดลงหรือความเมื่อยล้า หลายคนอาจพบว่าตัวเองนอนหลับนานขึ้น บางทีมากถึง 12 ชั่วโมง
หากคุณประสบอาการเหล่านี้อยู่ ไม่ต้องกังวล ขอให้รับประทาน ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) ต่อไปพร้อมกับตัวเลือกเหล่านี้
1.รับประทานต่อไปในปริมาณที่รับประทานอยู่
2.เพิ่มปริมาณการรับประทานขึ้น เพื่อเร่งกระบวนการรักษา
3.ลดปริมาณลงเหลือ 1 แคปซูลต่อวัน หรือ วันเว้นวัน
และดื่มของเหลวในปริมาณมาก เช่น น้ำ หรือ น้ำผัก ผลไม้ แน่นอนหากปัญหายังคงอยู่เป็นหลายสัปดาห์และแย่ลงในแต่ละวัน ขอแนะนำให้หยุดรับประทานและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่งไปแล้วความรุนแรงของอาการที่ไม่สบายดังกล่าวจะลดลง ในแต่ละวัน เมื่อกระบวนการของการกำจัดเสร็จสิ้น คุณจะมีแรงและสภาพของคุณจะดีขึ้นหลังจากหลายวัน
บางครั้งคุณจะมีการพัฒนาที่ดีขึ้นทันทีเมื่อรับประทานทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์(Transfer Factor) แต่หลังจากไม่กี่เดือนอาการเก่าๆบางอาการหรืออาการใหม่ อาจจะปรากฏขึ้น อันนี้เนื่องจากร่างกายมีปัญหาสุขภาพมากกว่าหนึ่งปัญหา เมื่อร่างกายได้รับการดูแลปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งคุณจะสัมผัสกับความสุขกายสบายใจในขณะนั้น เมื่อมาพบปัญหาสุขภาพที่สองและเริ่มกระบวนการฟื้นตัวและอาการเก่าหรือใหม่เกิดขึ้นและนี่อาจจะยังคงเป็นต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่งในขณะที่ร่างกายของคุณพร้อมกับความช่วยเหลือของทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์(Transfer Factor) กำลังขับพิษและรักษาตัวเองตามธรรมชาติ
ทำไมคนถึงได้กลับสู่อาการเก่าๆเหล่านี้ในช่วงของอาการที่เริ่มดีขึ้น บ่อยครั้งในกรณีของกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติ อาการเก่าจะเกิดขึ้นชั่วคราวอีกครั้งในร่างกายมีหน่วยความจำของมันเองและมันจดจำการบาดเจ็บทั้งหมด และทุกครั้งที่มันถูกยับยั้งไว้ ในขั้นตอนการกลับกัน ความทรงจำเหล่านี้จะถูกนำมาสู่ลำดับที่กลับกัน จากที่เกิดขึ้นและคนเจ็บป่วยอีกครั้งและบาดเจ็บในปรากฏการณ์ที่รู้จักกันคือการย้อยรอยเดิม ความแตกต่างในครั้งนี้คืออาการมาและไปอย่างรวดเร็ว และมีความรู้สึกที่สำคัญซ่อนอยู่ว่ากระบวนการทั้งหมดไม่เป็นอันตราย และมันเป็นธรรมชาติและส่งเสริมสุขภาพนอกนี้ยังเชื่อว่าอาการเฉพาะที่คนประสบอยู่ในเวลาใดก็ตามจะขึ้นอยู่กับความสมดุลของสารชีวเคมีธรรมชาติต่างๆ ในร่างกายเมื่อทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้นจึงสามารถโยงอวัยวะทั้งหมดร่วมกันทำความสะอาดกำกัดของเสียและสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการฟื้นฟูใหม่
ตอนนี้ภาพกระบวนการบำบัดร่างกายตามธรรมชาติของคุณเปรียบเหมือนการขึ้นบันไดขั้นบนสุด พลังงานถูกทำให้สมดุล และสารอาหารทั้งหมดมีอยู่ในอัตราที่เหมาะสมและร่างกายทำงานได้อย่างถูกต้อง ตอนนี้เมื่อสุขภาพของคนเริ่มเสื่อม เขากำลังเคลื่อนลงบันไดและในแต่ละขั้นตามทางเขาจะประสบกับอาการเฉพาะบางทีพลังจะน้อยลง ปวดหัวมากขึ้นนิดหน่อย แผลเปื่อยยังไม่หาย อย่างนี้เป็นต้น ขณะที่ร่างกายเริ่มรักษาตัวมันเองอีกครั้งคนนั้นเริ่มถอยกลับขึ้นบันไดและต้องประสบกับอาการที่เกี่ยวเนื่องกับระดับต่างๆของสุขภาพอีกครั้ง
อีกสถานการณ์ก็คือว่าอาการภายนอกไม่ดีขึ้นเลย ร่างกายอาจจะมีปัญหาสุขภาพมากกว่าหนึ่งอย่าง และ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์จะช่วยให้ร่างกายจัดการปัญหาสุขภาพที่เร่งด่วนมากกว่า
Call Center : 089-6668095 (Open 24 hrs)
ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ อาหารเสริมจำเป็นต่อร่างกาย
|
|
|